ครูตุ๊ก โรงเรียนคำแสนวิทยาสรรค์ กับทักษะ “โค้ชชิ่ง” ที่เปลี่ยนห้องเรียนให้ดีขึ้นด้วยการ “ฟัง”1 min read
“นักเรียนทุกคนทำความเคารพ”
“สวัสดีค่ะ สวัสดีครับคุณครู”
“นั่งลงได้”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณครับคุณครู”
ผ่านไปประมาณ 50 นาที เราและเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็พากันลุกขึ้นแล้วพูดบทสนทนาข้างต้นอีกครั้ง ในสมัยที่ “ห้องเรียน” หาใช่สถานที่ที่ส่งเสียงได้ตามใจชอบ กระทั่งการถามหรือต่อบทสนทนากับ “คุณครู” ก็ดูเป็นเรื่องยาก ระหว่างเวลา 50 นาทีนั้น พวกเราถูกบังคับให้รับบทเป็น “ผู้รับฟัง” มาเสมอ
จะมีไหมห้องเรียนที่คุณครูรับฟังนักเรียนบ้างจริงๆ ?
![](/wp-content/uploads/2023/09/บทความ-ครูตุ๊ก-คำแสน-โค้ชชิ่ง-7--1024x683.jpg)
“ครูตุ๊ก” รุ่งจิต แสนดี ครูประจำชั้นมัธยมศึกษาชั้นที่ 4 และครูประจำวิชาเคมี โรงเรียนคำแสนวิทยาสรรค์ เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงในห้องเรียนและตัวเธอหลังจากเข้าเรียนวิชา “ทักษะการโค้ชเพื่อครู” หรือที่บรรดาครูเรียกกันว่า “โค้ชชิ่ง” ในโมดูล 2 ตลาดวิชาของโครงการโรงเรียนปล่อยแสง
เธอบอกว่าทักษะโค้ชชิ่งทำให้เธอฟังเสียงของนักเรียนมากขึ้น
ตลอดระยะเวลา 29 ปีในอาชีพครู เธอไม่เคยหยุดฟังเด็กนักเรียนจริงๆ เลย จะด้วยเหตุผลที่อัตราส่วนความรับผิดชอบของครูหนึ่งคนต่อจำนวนนักเรียนที่มากถึง 40-50 ชีวิต หรือการเป็นครูเคมีไม่กี่คนของโรงเรียนทำให้ต้องมีชั่วโมงสอนมากขึ้น เหตุผลของเธอก็คงคล้ายกับครูอีกหลายคนต้องเผชิญ
ช่วงปีการศึกษาที่ผ่านมา ครูตุ๊กจับฉลากได้เป็น “ครูประจำชั้น” ของห้องสุดท้ายในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากปีก่อนๆ ที่เป็นครูประจำชั้นให้ห้องลำดับต้นๆ เรียกได้ว่าจาก “ห้องคิง” มา “ห้องบ๊วย” ความท้าทายในการเป็นครูประจำชั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น แต่ยังกินขอบเขตถึงการทำหน้าที่ “ครูแนะแนว” ให้นักเรียนห้องตัวเอง เหตุเพราะที่นี่มีครูประจำวิชาแนะแนวเพียงคนเดียว โรงเรียนจึงให้คุณครูประจำชั้น ม. 4 รับหน้าที่นี้ร่วมด้วย
ชั่วโมงเปิดรับฟังเรื่องราวของเด็กๆ จึงมีเพิ่มขึ้น และในเวลานี้เองที่เธอทดลองใช้และเข้าใจทักษะการโค้ชชิ่งลึกซึ้งขึ้น
“ปกติประจำชั้นแต่ห้องเก่งๆ ครั้งนี้จับฉลากได้ห้องสุดท้าย มีความแตกต่างหลากหลายมากมาย ทั้งศาสนา สังคม วัฒนธรรม” เธอเล่าด้วยความรู้สึกสนุก ทว่าเรื่องราวขยายจากนั้นฟังดูไม่เบาสบายดั่งท่าทีของเธอ
“โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ จังหวัดเราอยู่ในกลุ่มที่จีดีพีต่ำสุดในประเทศ มีปัญหายาเสพติดเยอะ ฐานะทางบ้านของนักเรียนค่อนข้างยากจน หลายครอบครัวแตกแยก มีเพียง 10% ที่ได้อยู่กับพ่อแม่ ที่เหลืออยู่กับยาย ตา ปู่ ย่า บางคนหนักกว่านั้นคืออยู่กันเอง ทอดไข่ ต้มมาม่า อยู่กันสองคนพี่น้อง บางคนมาโรงเรียนสายเพราะรอเพื่อนมารับไปโรงเรียนด้วย เขาไม่มีเงินค่ารถ ไม่มีเงินเติมน้ำมัน เวลาเราไปเยี่ยมบ้านเขาก็เห็นปัญหาอยู่”
การเป็นครูประจำชั้นปีนี้ทำให้เธอใกล้ชิดปัญหาที่นักเรียนเผชิญมากขึ้น
ฉันอยากฟังเธอ
นักเรียนห้องเธอไม่ได้ถูกคาดหวังให้เป็นเลิศทางวิชาการ ส่วนมากชอบและเด่นด้านกีฬา แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นการออกกำลังตามปริมาณฮอร์โมนวัยรุ่น หลายครั้งที่ครูตุ๊กมักได้รับสายด่วนจากฝ่ายกิจการนักเรียนให้ไปช่วยห้ามทัพหรือปรับความเข้าใจหลังจบศึกมวยคู่เอก การมีคนที่รับฟังนักเรียนอย่างจริงใจ โดยไม่ตัดสินเขาเสียก่อน เป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างสายใยในความเชื่อใจที่จะช่วยให้นักเรียนไม่หลงทาง โดยเฉพาะในบริบทแวดล้อมที่ส่งผลอย่างมากต่อการเติบโต ความคิด ความเชื่อ และการกระทำ ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะหลบหลีกการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ
![](/wp-content/uploads/2023/09/บทความ-ครูตุ๊ก-คำแสน-โค้ชชิ่ง-1--1024x683.jpg)
“ทักษะการโค้ชช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายง่ายขึ้น จากเดิมเป็นครูจะแค่สั่งกับสอน พอเขาไม่เอาตามเรา เราจะโกรธเขา แต่ถ้าเราใจเย็นลงหน่อย ปล่อยให้เขาได้พูดในมุมของเขา แล้วคอยถามคอยติดตามให้เขาค่อยๆ คิด ให้เขารู้สึกว่ามีคนใส่ใจ เขาก็จะเดินตามเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
“เมื่อก่อนเราสอนเนื้อหาจบก็จบ จะมีไถ่ถามตามบริบทบ้างเพียงเล็กน้อย แต่พอไปโค้ชชิ่งกลับมา เรานิ่งและฟังนักเรียนจริง ๆ ก่อนนั้นเราทำตามหน้าที่ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกฉันอยากฟังเธอ ไม่ต้องลงทุนอะไร ไม่ต้องใช้สื่ออะไร เราเพียงถามเขาว่าเป็นยังไงบ้างวันนี้มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังไหม”
มีเคสนักเรียนคนหนึ่ง ครูตุ๊กเล่าว่าเธอใช้ทักษะการโค้ชที่เรียนมาอย่างคุ้มค่า เธอยกตัวอย่างบทสนทนาด้วยสำเนียงชาวหนองบัวลำภูอย่างออกรส ถอดความได้ว่า
“วันนี้ลูกไปทำอะไรมาบ้าง”
“ไป…มาครับ กลับบ้านเที่ยงคืนได้”
“แล้วยายนอนหลับไหม เวลาที่ลูกกลับบ้านดึก”
“นอนไม่ค่อยหลับครับ ช่วงนี้ยายไม่ค่อยสบาย”
“ยายนอนไม่หลับ แล้วลูกจะทำยังไงล่ะ”
“อืม.. เดี๋ยวกลับบ้านเร็วขึ้นได้ไหมครับ”
“สักกี่โมงดีล่ะลูก”
“เดี๋ยวกลับสักสี่ทุ่มครับ ธรรมดากลับตีสองเลยนะครับ”
“ยายจะรอไหวเหรอลูก…”
“งั้นสองทุ่มก็ได้ครับ”
ครูตุ๊กเสริมว่าเธอมักตั้งคำถามปลายเปิดแบบไม่ออกคำสั่ง เพราะเข้าใจว่านักเรียนวัยนี้มักมีพฤติกรรมติดเพื่อน อยากรู้อยากลองและคึกคะนองตามประสาวัยรุ่น แต่ลึกๆ ในใจยังต้องการคนคอยรับฟังอยู่เสมอ หน้าที่เธอเพียงถามและรับฟังสิ่งที่พวกเขากำลังคิดกำลังตกตะกอน
ทุกวันนี้นักเรียนคนนี้ขยับเวลากลับถึงบ้านเป็นช่วง 5-6 โมงเย็นเพื่อไปดูแลยายแล้ว เขาให้เหตุผลว่าเริ่มไม่สนุกกับกิจวัตรเดิม ๆ
“แค่ฟังแล้วก็ถาม บางทีเขาไม่ได้ต้องการอะไรเยอะ เขาต้องการคนฟัง” ครูตุ๊กย้ำใจความสำคัญ
ทักษะสามอย่าง
จากห้องเรียน “ทักษะการโค้ชเพื่อครู” ครูตุ๊กบอกว่าเธอจับหัวใจหลักของทักษะนี้มาได้ 3 ข้อ ได้แก่
1.จับประเด็น 2. ฟังความรู้สึก 3. ตั้งคำถามปลายเปิด
เมื่อเปิดใจฟังมากขึ้น ครูตุ๊กก็เริ่มมองเห็นที่มาของปัญหา และเธอออกเดินทางหาคำตอบผ่านการฟังให้มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น
“ปกตินักเรียนเดินมาส่งงาน ถ้าเขาทำถูกแล้วก็มักไม่มีอะไรจะถามเรา แต่ถ้าเขาอยากพูดกับเรา ปกติเราก็จะเงยหน้าฟังนิดนึง แต่ฟังแค่ได้ยิน ไม่ได้ตั้งใจฟังเขาจริงๆ แต่หลังเข้าหลักสูตรโค้ชชิ่ง เรายิ้มตอบแล้วให้เวลาเขาได้พูด นี่คือจุดเปลี่ยน”
เธอเล่าว่าการฟังทำให้บรรยากาศในห้องเรียนเปลี่ยนไป เมื่อก่อนเธอจะมีกติกา 1 2 3 4 5 ชัดเจน ทว่าตอนนี้ทุกๆ การขึ้นปีการศึกษาใหม่ เธอจะเริ่มต้นห้องเรียนด้วยคำถามว่า
“ลูกๆ อยากให้ห้องเรียนของเราเป็นยังไงบ้าง”
“อยากให้ปล่อยช่วงพักเร็วขึ้นค่ะ อยากเล่นเกมในห้องได้ครับ อยาก… ฯลฯ”
ส่งต่อการเป็น “ผู้ฟัง”
เมื่อคำถามที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ถูกเปล่งออกมา คำตอบที่ถูกต้องก็ตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ ครูตุ๊กไม่เพียงใช้ทักษะสามอย่างกับนักเรียนเท่านั้น แต่ยังนำมาใช้กับเพื่อนครู เริ่มจากคำถามง่ายๆ เช่น “แล้วเป็นยังไงเหรอ” “ตอนนี้เรารู้สึกยังไงบ้าง” “แล้วคิดว่าจะทำยังไงต่อไปนะ” ฯลฯ
ครูตุ๊กค่อยๆ เรียนรู้ว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีความแตกต่างหลากหลาย และมีศักยภาพในการค้นหาทางออกของตนเองเสมอ
![](/wp-content/uploads/2023/09/บทความ-ครูตุ๊ก-คำแสน-โค้ชชิ่ง-6-1024x759.jpg)
“พี่ตุ๊กเข้าใจหนูจังเลย”
คำพูดจากเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง พร้อมกับสีหน้า รอยยิ้ม และแววตาที่สะท้อนความวางใจ ปลอดภัย เบาสบาย เมื่อได้พูดสิ่งที่สะสมอยู่ภายใน
“เมื่อก่อนเราฟังแต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ เราก็จะชี้ๆๆ แต่คนมีความเชื่อของตัวเองแตกต่างกัน เราตัดสินคนไม่ได้ เราแค่ต้องฟัง”
เธอเริ่มส่งต่อทักษะนี้ให้เพื่อนครูด้วยกันต่อไปผ่านการเป็น “ผู้ฟัง” เพียงฟังอย่างไม่ตัดสิน หน้าที่ของเธอมีเพียงเท่านั้น ปล่อยให้กระบวนการคิดแก้ไขเป็นสิ่งที่ผู้เล่าค้นหาคำตอบด้วยตนเอง
“เมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อน เกิดเหตุครูผูกคอตายในโรงเรียน เป็นครูกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ เขาเคยเป็นลูกศิษย์ครู เป็นประธานนักเรียนด้วย จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราตระหนักว่าพวกเราไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นเหมือนคนในครอบครัว เราคุยกันในกลุ่มสาระว่าเราฟังกันน้อยเกินไปไหม ดูแลกันน้อยเกินไปไหม
“หลังเกิดเรื่องนี้ใหม่ๆ เวลาใครบอกว่ามีความทุกข์ พวกเราจะวางปากกาทันทีแล้วเอนเตอร์เทนกัน เวลาผ่านไปทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น
“โลกไปไกลมากขึ้น เคลื่อนที่เร็วมากขึ้น ปัญหาเกิดมากขึ้น ผู้คนทุกข์มากขึ้น แต่ก่อนเราอาจสนใจแต่วัตถุ ตอนนี้เราสนใจคนด้วยกัน”
ในห้องสี่เหลี่ยมน้อยๆ ในพื้นที่การเรียนรู้ที่เรียกว่า “ห้องเรียน” ไม่เพียงนักเรียนหลายสิบชีวิตจะมีที่มาที่ไปต่างกัน ทว่าในแต่ละวัน “มนุษย์ครู” ที่รับบท “ผู้สอน” ต่างก็มีเรื่องราวส่วนตัวที่แบกรับไว้ และต้องจัดการกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในด้วยกันทั้งนั้น
จากหัวใจนักปราชญ์ “สุ จิ ปุ ลิ” ซึ่งแปลได้ว่าประโยชน์ของการฟัง การคิด การถาม และการเขียน ในยุคสมัยที่เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จะดีเพียงใดหากสามารถยึดหลักไว้อย่างน้อยสักข้อคือ “สุ” หรือ “การฟัง”
“สวัสดีจ๊ะ…วันนี้พวกเราเป็นยังไงกันบ้าง”
คำถามแรกในทุกคาบเรียนของครูตุ๊ก